วันนี้ (4 มี.ค. 56) เวลา 13.30 น. ตามเวลาท้องถิ่น นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และนายเฟดริก ไรน์เฟลด์ท นายกรัฐมนตรีสวีเดน ร่วมกันแถลงถึงผลการหารือ ภายหลังการหารือข้อราชการและร่วมกันเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามความตกลง ว่าด้วยความร่วมมือด้านการบังคับใช้กฎหมายในการต่อต้านอาชญากรรมที่จัดตั้งในลักษณะองค์กร การลักลอบค้ายาเสพติด วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทและสารตั้งตั้น การค้ามนุษย์ การก่อการร้าย และอาชญากรรมร้ายแรงอื่นๆ (Law Enforcement Cooperation Agreement) และ แผนปฏิบัติการร่วมไทย-สวีเดน ฉบับที่ 2 (Joint Plan of Action) สรุปสาระสำคัญดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรีสวีเดน สำหรับการต้อนรับอย่างอบอุ่น ในการเยือนราชอาณาจักรสวีเดนอย่างเป็นทางการ ซึงไทยและสวีเดน มีความสัมพันธ์ทางการทูตอันดีต่อกันมาเป็นเวลายาวนานกว่า 145 ปี ยิ่งสำคัญไปกว่านั้น เป็นความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับพระราชทานพระบรมราชวโรกาสจากสมเด็จพระราชาธิบดี คาร์ลที่ 16 กุสตาฟ และสมเด็จพระราชินีซิลเวียแห่งสวีเดน ให้เข้าเฝ้าฯ ซึ่งในฐานะตัวแทนของรัฐบาลไทยและประชาชนชาวไทย ขอน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพระพรแด่ทั้งสองพระองค์ ไทยและสวีเดน ต่างเป็นประเทศที่ยึดมั่นในหลักประชาธิปไตย หลักธรรมาภิบาล และมุ่งเน้นการพัฒนาประเทศที่ควบคู่ไปกับยึดถือหลักสิทธิมนุษยธรรม ในการหารือกับนายกรัฐมนตรีสวีเดน มีการหารือข้อราชการและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นในหลายประเด็นสำคัญที่ทั้งสองประเทศมีความสนใจตรงกัน และเห็นพ้องกันที่จะเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีในทุกมิติ ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น รวมทั้งเพิ่มพูนความร่วมมือในประเด็นภูมิภาคและประเด็นระหว่างประเทศทั่วโลก สำหรับความร่วมมือทวิภาคี นายกรัฐมนตรีทั้งสองได้ร่วมกันเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามความตกลงระหว่างรัฐบาลว่าด้วยความร่วมมือด้านการบังคับใช้กฎหมายในการต่อต้านอาชญากรรมที่จัดตั้งในลักษณะองค์กร การลักลอบค้ายาเสพติด วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทและสารตั้งตั้น การค้ามนุษย์ การก่อการร้าย และอาชญากรรมร้ายแรงอื่นๆ (Law Enforcement Cooperation Agreement) และแผนปฏิบัติการร่วมไทย สวีเดน ฉบับที่ 2 (Joint Plan Action) ซึ่งจะเป็นกรอบในการกำหนดทิศทางความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างทั้งสองประเทศในระยะ 5 ปีข้างหน้า ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจจริงของทั้งสองประเทศที่จะยกระดับความสัมพันธ์ให้ใกล้ชิดมากยิ่งขึ้นต่อไป ในด้านความร่วมมือทางเศรษฐกิจ นายกรัฐมนตรียืนยันความพร้อมที่จะเริ่มการเจรจา Thai-EU FTA ที่จะมีส่วนสำคัญในการขยายการค้าการลงทุนระหว่างสองประเทศได้ในอนาคต และเพื่อยกระดับความเชื่อมโยงด้านการค้าการลงทุน ในการเยือนครั้งนี้ ได้นำคณะนักธุรกิจกว่า 30 ราย จากภาคเอกชนชั้นนำของไทย ประกอบด้วยสาขาอาหาร สาขาพลังงาน/เศรษฐกิจสีเขียว สาขาการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ สาขาสินค้าดีไซน์/เศรษฐกิจสร้างสรรค์ และสาขาการธนาคาร ร่วมเดินทาง เพื่อให้มีโอกาสได้พบปะกับนักลงทุนสวีเดน พร้อมสร้างเครือข่ายและขยายช่องทางธุรกิจและแสวงหาโอกาสในการลงทุนระหว่างกัน นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังได้ตกลงที่จะเพิ่มพูนความร่วมมือและการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และด้านนวัตกรรมละการวิจัย โดยจะเน้นความสำคัญในสาขาพลังงานทางเลือก อุตสาหกรรมสีเขียว การบริหารจัดการทรัพยากร และการพัฒนาอย่างยั่งยืน รวมถึงความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว เพื่ออำนวยความสะดวก และเพิ่มมาตรการความปลอดภัยให้แก่นักท่องเที่ยวชาวสวีเดน ที่เดินทางมาท่องเที่ยวในไทยกว่า 350,000 ราย พร้อมทั้งขยายและพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ในระดับภูมิภาคและระดับโลก ทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นระหว่างกันในหลายประเด็น อาทิ พัฒนาการของภูมิภาคทั้งสองภูมิภาค โดยนายกรัฐมนตรีชื่นชมสวีเดนที่สามารถรักษาอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนกลุ่มประเทศนอร์ดิก แม้ในสภาวะที่สหภาพยุโรปต้องเผชิญความท้าทายทางเศรษฐกิจมากมาย และนายกรัฐมนตรีมีความมั่นใจว่าสหภาพยุโรปจะสามารถกลับมามีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจอย่างสมบูรณ์แบบอีกครั้ง และเป็นเสาหลักของระบบเศรษฐกิจโลกได้อย่างแน่นอน สำหรับสถานการณ์ต่างๆในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นายกรัฐมนตรีใช้โอกาสนี้แจ้งต่อนายกรัฐมนตรีสวีเดน ถึงภารกิจหลักของไทยในการเกิดขึ้นของประชาคมอาเซียนในปี 2015 นี้ว่าขณะนี้ไทยได้ใช้งบประมาณการลงทุน 66,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในการก่อสร้างและพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน ที่จะช่วยเชื่อมต่อระบบคมนาคมขนส่งของภูมิภาคอาเซียน และทำให้ไทยเป็นศูนย์กลางในการขนส่งสินค้าและการลงทุนต่างๆจากสวีเดนในภูมิภาค พร้อมเป็นจุดศูฯย์กลางการเชื่อมต่อในอาเซียนและประเทศเพื่อนบ้านของไทย อย่างไรก็ตาม ในสถานการณ์โลกปัจจุบัน ยังมีอีกหลายประเด็นและปัญหาที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากนานาประเทศในการแก้ไข นายกรัฐมนตรีทั้งสองจึงมีความยินดีที่จะร่วมกันสนับสนุนและกระตุ้นให้เกิดความร่วมมือในระดับพหุภาคี ในการแก้ปัญาต่างๆในระดับโลก อาทิ ลดช่องว่างการพัฒนาและลดความเหลื่อมล้ำทางเพศ และการรับมือกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรีสวีเดนอีกครั้งสำหรับการต้อนรับและหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้ร่วมกันพัฒนาความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศในทุกมิติต่อไป
Comments
Post a Comment